ประเทศไทยได้รับการยกย่องมานานถึงความก้าวหน้าในการต่อสู้กับ HIV/AIDS ทว่าภายใต้ความสำเร็จที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั้น กลับมีจุดอ่อนที่สำคัญปรากฏขึ้นกับกลุ่มประชาชนช่วงอายุ 15 – 24 ปี หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “เยาวชน” คำถามที่ดังกึกก้องในหัวของผมตลอดเวลาเมื่ออ่านรายงานเชิงสถิติเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ HIV-AIDS คือ ทำไมกลุ่มเยาวชน ถึงมีสถิติติดเชื้อสูงที่สุดจนอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลในระบบสาธารณสุขไทยในอนาคต การวิเคราะห์นี้พยายามสำรวจความย้อนแย้งระหว่างความสำเร็จและปัญหาที่ยังคงอยู่เหล่านี้ โดยแยกแยะองค์ประกอบทางเศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรม และระบบที่มีส่วนทำให้การแพร่กระจายของ HIV ในหมู่เยาวชนของไทยยังคงมีอยู่และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (นับจากปี 2565) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งสูงขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชน ซึ่งเป็นดัชนีสำคัญที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยง HIV ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ทำความเข้าใจกับ HIV/AIDS
HIV ไม่ได้หมายถึง AIDS เสมอไป ผู้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่แสดงอาการของ AIDS หากได้รับการวินิจฉัยและรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
ทำความรู้จักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs)
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STIs) ประกอบไปด้วย 5 โรคหลัก คือ โรคซิฟิลิส (Syphilis), โรคหนองใน (Gonorrhea), โรคหนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis: NGU/NSU), โรคแผลริมอ่อน (Chancroid), กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง (Lymphogranuloma Venereum หรือ Granuloma Inguinale) แม้ว่า STIs จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่โรคเหล่านี้กลับมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV จากการมีบาดแผลซึ่งมาจากโรคบางชนิด เช่น ซิฟิลิสและแผลริมอ่อน ที่เปรียบเสมือนประตูเปิดให้เชื้อ HIV สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายขึ้น หรือหนองในและหนองในเทียมที่ทำให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ และการมีพฤติกรรมเสี่ยงร่วมกันจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการมีคู่นอนหลายคน เป็นต้น
สถานการณ์ปัจจุบันของ HIV/AIDS
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยยอดผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ภายในประเทศประจำปี 2568 อาจสูงถึง 8,863 คน ประกอบไปด้วย กลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 15 ปี 8,817 คน และกลุ่มผู้มีอายุน้อยกว่า 15 ปีอีก 46 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสมที่ยังมีชีวิตอยู่มีจำนวนมากถึง 565,598 คน สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการรักษาโรคและการเข้าถึงระบบสาธารณสุขของไทยได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันตัวเลขเหล่านี้ก็ยังบ่งชี้ว่าประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับภาระด้านสาธารณสุขที่หนักหน่วงจากโรคนี้
จากอัตราการป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบว่า อัตราการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2565 – 2567) โดยเฉพาะโรคหนองใน ซึ่งผลการสำรวจระบุว่า กลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี เป็นกลุ่มหลักที่มีความเสี่ยงต่อโรคหนองใน โดยตัวเลขปีพ.ศ.2567 มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรอยู่ที่ 108.6 เพิ่มขึ้นสูงถึง 66.7 จากปีพ.ศ.2565 และลำดับถัดมาคือ โรคซิฟิลิส กลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก ตัวเลขปีพ.ศ.2567 มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรอยู่ที่ 114.1 เพิ่มขึ้นสูงถึง 55.1 จากปีพ.ศ.2565 ตัวเลขเหล่านี้กำลังสื่อให้เห็นว่าการที่เยาวชนป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV/AIDS ต่อไปในอนาคต
จากภาพแผนภูมิประเทศแสดง 15 จังหวัดสำคัญในปีพ.ศ.2567 คิดเป็น 50% ของผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ขอนแก่น, เชียงใหม่, นครราชสีมา, อุดรธานี, นนทบุรี, เชียงราย, สมุทรปราการ, อุบลราชธานี, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, นครศรีธรรมราช, สงขลา และสกลนคร
เป้าหมายที่ทะเยอทะยานของไทย 2573 ยุติปัญหาเอดส์ ?
ประเทศไทยตั้งเป้ายุติปัญหาเอดส์ภายในปีพ.ศ.2573 โดยจะต้องลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ำกว่า 1,000 รายต่อปี และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคเอดส์ให้ต่ำกว่า 4,000 รายต่อปี ในขณะที่เป้าหมายระดับโลกใช้แนวคิด “95-95-95” หมายถึง 95% ของผู้ติดเชื้อรู้สถานะของตนเอง 95% ได้รับการรักษา และ 95% สามารถกดไวรัสในร่างกายไว้ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันของ HIV/AIDS ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความท้าทายหลักของเป้าหมายดังกล่าวนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน หากรัฐบาลต้องการบรรลุเป้าหมายที่สุดแสนจะทะเยอทะยานนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องเริ่มต้นสร้างค่านิยมใหม่ให้มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันตนเองเพื่อให้สอดรับกับแนวคิดโลกเสรีในปัจจุบัน
แล้วทำไมกลุ่มเยาวชนถึงกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่ากังวลเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?
(1) ปัจจัยด้านพฤติกรรม (Behavioral Factors)
โดยเฉลี่ยแล้วพบว่าเยาวชนไทยเริ่มมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุยังน้อย (15-16 ปีโดยประมาณ) ทำให้ขาดความรู้และทักษะในการเจรจาต่อรองเรื่องเพศอย่างปลอดภัย จนอาจนำมาสู่ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรืออาจป้องกันแต่ไม่ถูกวิธี และด้วยช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ที่ชื่นชอบการลองผิดลองถูก เป็นช่วงวัยที่มีอารมณ์มากกว่าเหตุผล จนนำไปสู่ปัญหาการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือแม้กระทั่งการมีเพศสัมพันธ์ภายในฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด
(2) ปัจจัยด้านสังคม (Social Factors)
ผลการสำรวจพบว่าเยาวชนมักรับข้อมูลข่าวสารหรือปรึกษากับกลุ่มเพื่อนหรือผู้ที่มีอายุใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ อิทธิพลของกลุ่มเพื่อนและสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจทำให้เกิดการรับข้อมูลข่าวสารที่ผิดหรือมีแรงกดดันจากกลุ่มเพื่อนที่ไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเกื้อหนุนปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ภายในฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด เป็นต้น นอกจากนี้ในสังคมไทยยังคงมีปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมจนหลายคนเคยชินและมองว่าเป็นเรื่องปกติ เช่น ความไม่สมดุลของบทบาททางเพศที่ทำให้ผู้หญิงมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าผู้ชาย (หรือในสังคมที่เปิดกว้างเรื่องเพศอย่างประเทศไทยในปัจจุบัน อาจต้องใช้นิยามใหม่ว่า “ความไม่สมดุลของบทบาททางเพศที่อาจทำให้ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจต่อรองเรื่องเพศน้อยกว่าอีกฝ่าย”) นอกจากนี้ผลการสำรวจยืนยันอย่างชัดเจนว่าคนไทยกว่า 27.9% ยังคงมีปัญหาการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่ดูถูก เหยียดยามผู้ติดเชื้อ HIV และ STIs หรือบางครั้งตีตราผู้เข้าตรวจหาเชื้อทั้งที่ยังไม่ทราบผลตรวจ จนนำไปสู่ความละอายที่จะเข้าตรวจหาเชื้อที่สถานบริการสาธารณสุข
(3) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ (Economic Factors)
สำหรับปัจจัยด้านเศรษฐกิจ หัวใจสำคัญคงหนีไม่พ้นเรื่องของความยากจน ที่เป็นประสู่การขายบริการ การทำงานในพื้นที่เสี่ยง ตลอดจนถึงการไม่สามารถเข้าถึงการบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง ซึ่งทำให้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจกลายเป็นชนวนสำคัญที่จะทำให้ปัญหาจากปัจจัยด้านพฤติกรรมและสังคมขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
แนะนำวิธีป้องกัน HIV และ STIs
บทสรุปส่งท้าย
การแก้ไขปัญหา HIV/AIDS และ STIs จึงไม่ใช่เพียงหน้าที่ของหน่วยงานสาธารณสุขเท่านั้น หากแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม โดยเริ่มจากการส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ผ่านการป้องกันที่ถูกวิธี ลดจำนวนคู่นอนหรือสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับคู่นอน นอกจากนี้ควรตรวจคัดกรองและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอเมื่อติดเชื้อ รวมถึงการพิจารณาการใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ (PrEP และ PEP) ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของเชื้อและที่สำคัญที่สุด ปัญหาของเยาวชนย่อมไม่อาจแก้ไขได้หากขาดรากฐานสำคัญอย่าง “สถาบันครอบครัว” ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการใส่ใจดูแล ให้ความรู้ที่ถูกต้องด้วยความเข้าใจ และเป็นที่พึ่งพาให้กับบุตรหลานเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาในชีวิต การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สังคม และครอบครัว จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เยาวชนไทย จนนำไปสู่อนาคตที่ปราศจากภัยคุกคามของ HIV/AIDS อย่างยั่งยืน เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนรุ่นต่อไป
ที่มาข้อมูล: ข้อมูลสถิติผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS และ STIs จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
Tharnkub
2025-06-22 | 08:01:32