เงินกู้ออนไลน์สะพัด กับดักคนรายได้น้อย สู่วงจรจนซ้ำจนซ้อนไม่รู้จบ

ทำไมเงินกู้ออนไลน์ถึงได้รับความนิยม ชวนคิด หาคำตอบและรู้ทันกลไกกับดักเงินกู้นอกระบบ หยุดวงจนความจน ด้วยวินัยและการบริหารจัดการการเงินอย่างมีคุณภาพ

 

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต บริการทางการเงินก็เช่นกัน "เงินกู้ออนไลน์" ได้กลายเป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่ายและรวดเร็วสำหรับผู้ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายฉุกเฉิน ปัญหาสุขภาพ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง หรือใช้เพื่อเป็นกระแสเงินสดหมุนเวียนธุรกิจขนาดเล็ก และเหตุผลอื่น ๆ นานัปการที่ยากเกินกว่าจะพรรณนานาไว้ได้ ทว่าภายใต้ความสะดวกสบายผ่านที่มาพร้อมกับความรวดเร็วในการอนุมัติเงินกู้เหล่านี้ กลับแฝงไว้ด้วยกับดักที่มองไม่เห็น ซึ่งพร้อมจะฉุดรั้งผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรายได้น้อย ให้จมดิ่งลงสู่ห้วงของวงจรหนี้

 

เงินกู้นอกระบบในยุคปัจจุบันปรับตัวตามยุคสมัยเข้าสู่ระบบออนไลน์แทบทั้งหมด โดยมักมาพร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อให้รู้สึกปลอดภัยและสบาย “ไม่ต้องเตรียมเอกสาร” “ไม่ใช้คนค้ำ” “ไม่ตรวจเครดิตบูโร” “อนุมัติไวเห็นผลทันที” “ดอกเบี้ยต่ำ” “สมัครได้ทุกอาชีพ” “เครดิตเสียก็กู้ได้” ทั้งหมดนี้คือคำโฆษณาที่ดึงดูดใจเหล่าผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มคนที่ต้องการใช้เงินด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในชีวิต จนกลายเป็นจุดขายให้เงินกู้นอกได้รับความนิยมจนนำหลายต่อหลายคนเข้าสู่ภาวะของความจนซ้ำจนซ้อนแบบไม่รู้จบ

 

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่า ทำไมเงินกู้ออนไลน์ถึงสะพัดและได้รับความนิยม อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนจำนวนมากหลงเข้าสู่เส้นทางนี้ และที่สำคัญกว่านั้น เราจะชวนคุณมา คิด หาคำตอบ และรู้ทันกลไกกับดักเงินกู้ เพื่อที่คุณจะได้สามารถ หยุดวงจรความจน และหลุดพ้นจากภาระหนี้ที่อาจกัดกินชีวิตของคุณไปได้อย่างยั่งยืน

 

ปีศาจร้ายในคราบนักบุญที่ปรากฏตัวแบบถูกที่ถูกเวลา

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเงินกู้ออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงบริการสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือผู้ที่ต้องการความรวดเร็วฉับไว เพราะเงินกู้ออนไลน์เหล่านี้มักมาพร้อมกับความสะดวกสบายเข้าถึงง่าย, มีความรวดเร็วในการอนุมัติและรับเงินกู้ อีกทั้งยังเน้นเข้าถึงกลุ่มคนที่ไม่มีประวัติเครดิตหรือเครดิตเสียหรือแม้แต่กลุ่มคนที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทั้งหมดนี้คือปัจจัยหลักที่ทำให้เงินกู้ออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยภาพรวมแล้วเงินกู้ออนไลน์เหล่านี้ดูเหมือนจะดี แต่ภายใต้ความสะดวกสบายเหล่านั้น เงินกู้ออนไลน์ได้แอบซ่อนโซ่ตรวนที่พร้อมจะรัดตรึงผู้ที่หลงเชื่อให้ติดอยู่ในกับดักความจนแบบไม่รู้จบ

 

โซ่ตรวนที่หนึ่ง: ดอกเบี้ยสูงทะลุเพดานกฎหมาย

โซ่ตรวนเส้นแรกที่รัดแน่นที่สุด เงินกู้ออนไลน์ส่วนใหญ่มักใช้กลยุทธ์คิดดอกเบี้ยแบบรายวันหรือรายเดือนในอัตราที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้มาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ระบุชัดเจนว่า การเรียกเก็บดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินต้องไม่เกิน 15% ต่อปี แต่ผู้ให้บริการเงินกู้ออนไลน์หลายรายกลับคิดดอกเบี้ยสูงถึง 6% ต่อวัน หรือ 20% ต่อเดือน หากลองคำนวณเป็นรายปีแล้ว จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงถึง 240% - 2,190% ต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งการคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา มีโทษทั้งจำและปรับไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น การปล่อยกู้โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยและคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงเข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างชัดเจน

 

โซ่ตรวนที่สอง: ความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เมื่อเงินกู้ออนไลน์อยู่นอกกรอบของกฎหมายและไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ให้กู้จึงมักมีพฤติกรรมการทวงหนี้ที่โหดร้าย ไร้ความปรานี ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้กู้ ตั้งแต่การขู่กรรโชก ยึดทรัพย์สิน ไปจนถึงการประจานทวงหนี้ผ่านโซเชียลมีเดีย สร้างความอับอายและรุกรานพื้นที่ส่วนตัวในทุกมิติ นอกจากนี้ยังรวมถึงการใช้ คำพูดหยาบคาย การทำร้ายร่างกาย เพื่อเป็นการข่มขู่ตักเตือน ไปจนถึงขั้นขู่ฆ่าเอาชีวิต ทั้งหมดนี้คือความเสี่ยงอันน่าสะพรึงกลัวที่ผู้กู้ต้องเผชิญเมื่อหลงเข้าสู่วงจรเงินกู้ออนไลน์ ซึ่งอาจทำให้ชีวิตหลังจากนั้นไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็นสำหรับใครหลายคน

 

อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินกู้ออนไลน์และเงินกู้นอกระบบรูปแบบอื่น ๆ ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จำเป็นสำหรับคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ด้วยเหตุผลฉุกเฉินและจำเป็นต่าง ๆ แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะบีบคั้นเพียงใด "วินัยทางการเงิน" คือเครื่องมือเพียงหนึ่งเดียวที่พอจะรับประกันได้ว่าคุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อของวงจรเงินกู้นอกระบบเหล่านี้อย่างแน่นอน

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้นอกระบบและเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ที่สถาบันการเงินจะใช้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจาก 4 ปัจจัย ได้แก่

  1. ความมั่นคงของรายได้: สถาบันการเงินจะพิจารณาเงินเดือนและสวัสดิการต่าง ๆ ที่ผู้กู้มีอยู่ในปัจจุบัน
  2. ภาระหนี้เดิม: สินเชื่ออื่น ๆ ที่ผู้กู้ยังอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ จะถูกนำมาพิจารณาเพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้
  3. ประวัติทางการเงิน (เครดิตบูโร): ประวัติการชำระหนี้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่ผ่อนชำระเสร็จสิ้นแล้ว หรือที่กำลังผ่อนชำระอยู่ ประวัติที่ดีจะเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายยิ่งขึ้น
  4. อายุผู้กู้และอายุงาน: ยิ่งอายุมากและมีอายุงานนาน ยิ่งแสดงถึงประสบการณ์และความมั่นคงในชีวิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญ
  5. การค้ำประกัน: บางนโยบายของการอนุมัติสินเชื่ออาจต้องใช้บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินเข้ามาช่วยค้ำประกัน เช่น บ้าน, รถ, ที่ดิน เป็นต้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจต่อความสามารถในการชำระหนี้คืนให้แก่สถานบันการเงินผู้ให้กู้

นอกจากปัจจัยสำคัญทั้ง 4 ปัจจัยแล้ว สถาบันการเงินอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องใช้พิจารณาเพิ่มเติมตามเงื่อนไขและรายละเอียดของโครงการที่ยื่นสมัครสินเชื่อ เพื่อให้สอดคล้องกับการวัตถุประสงค์ของแต่ละโครงการของสถาบันการเงิน ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ และวางแผนบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับความสำคัญของภาระต่าง ๆ ในชีวิตให้ชัดเจนและเป็นระบบ จะช่วยป้องกันการเสียเครดิตทางการเงิน และช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการยื่นขอสินเชื่อในอนาคต

 

เครื่องมือลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ในชีวิตที่เต็มไปด้วยปัจจัยแวดล้อมที่ไม่มั่นคงและยากจะควบคุมได้ การมี "ตัวช่วย" หรือ "เครื่องมือ" ในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีเงินทุนสำรองมากนัก ยิ่งต้องให้ความสำคัญ

เครื่องมือที่ว่านี้คือ "ประกันในรูปแบบต่าง ๆ" หลายคนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมักมองว่าการทำประกันเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เพราะไม่รู้ว่าจะเจ็บป่วยเมื่อไหร่หรือเกิดอุบัติเหตุเมื่อไหร่ หากไม่เจ็บป่วยเลยก็รู้สึกเสียเงินเปล่า แต่ในทางกลับกันการเจ็บป่วยร้ายแรงที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการรักษาหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย กลับกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ผู้มีรายได้น้อยต้องแบกรับ และอาจนำไปสู่การกู้เงินออนไลน์อย่างที่กล่าวไปข้างต้นได้

ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการทำประกันในทุกรูปแบบอย่างเหมาะสมต่อลักษณะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินชั้นดีของผู้มีรายได้น้อย เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้มีเงินทุนจากประกันที่สมัครไว้ให้พอได้ช่วยชำระเงินสำหรับการรักษาพยาบาล หรือซ่อมแซมทรัพย์สิน เช่น บ้าน, รถยนต์ จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างทันท่วงที ทำให้การใช้ชีวิตสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมีหลักประกันที่ทำให้ทุกคนสบายใจ โดยรูปแบบประกันที่พบเห็นได้โดยทั่วไป ประกอบด้วย

  1. ประกันชีวิต (Life Insurance): คุ้มครองชีวิตและจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้ผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรืออยู่ครบกำหนดสัญญา มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา, แบบตลอดชีพ, แบบสะสมทรัพย์ และแบบควบการลงทุน
  2. ประกันสุขภาพ (Health Insurance): คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทั้งค่าห้อง, ค่าแพทย์, ค่ายา, ค่าผ่าตัด ทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) รวมถึงประกันโรคร้ายแรง และประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล
  3. ประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance): คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ไม่ใช่การประกันชีวิต มีความหลากหลายมากที่สุด เช่น ประกันรถยนต์, ประกันอัคคีภัย, ประกันภัยทรัพย์สิน, ประกันภัยการเดินทาง, ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก

การมีประกันที่เหมาะสมก็เปรียบเสมือนการมี "เกราะป้องกันทางการเงิน" ที่จะช่วยคุ้มครองคุณและคนที่คุณรัก ให้ก้าวผ่านสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างมั่นคง และไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของ "ปีศาจร้าย" ที่แฝงมาในคราบนักบุญอย่างเงินกู้ออนไลน์อีกต่อไป

 

เทคนิคสร้างวินัยและวางแผนการเงินอย่างมีคุณภาพ

(1) รู้จักประมาณตน

หัวใจสำคัญของการมีวินัยทางการเงินคือการ "รู้จักประมาณตน" หรือการประเมินสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างซื่อสัตย์และเป็นปัจจุบัน

  • สำรวจรายรับ-รายจ่าย: เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกรายรับและรายจ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน ทำให้เห็นภาพรวมของกระแสเงินสดเข้า-ออก ว่าเงินไปอยู่ที่ไหนบ้าง โดยในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการจดบันทึก โดยไม่ต้องเสียเวลานั่งจดนั่งจำอีกต่อไป
  • ประเมินความสามารถในการชำระหนี้: หากมีหนี้สินอยู่ ให้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ โดยไม่สร้างภาระเกินตัว หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว
  • รีดไขมัน ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย: สำรวจตัวตนมองหาการสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นหรือกำลังจ่ายเงินโดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น มีบริการสตรีมมิ่งที่สมัครรับบริการอยู่ 3 ราย แต่รับชมจริงเพียง 1 ราย ดังนั้นอีก 2 รายควรยกเลิกการใช้บริการ เป็นต้น วิธีดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งในเทคนิคการรีดไขมันเพื่อให้เงินคงเหลือเพียงพอต่อการออมและการลงทุนในอนาคต

 

(2) แบ่งเงินอย่างเป็นสัดเป็นส่วน

การแบ่งเงินออกเป็นสัดส่วนจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยรูปแบบการแบ่งเงินเป็นสัดเป็นส่วนนั้นแตกต่างกันออกไปตามพฤติกรรมการใช้จ่ายในแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น

  • แบ่งตามเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายการออมที่ชัดเจน เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน เงินดาวน์บ้าน, เงินดาวน์รถ , ค่าเล่าเรียนบุตร, หรือเงินทุนสำหรับเกษียณอายุ และจัดสรรเงินส่วนหนึ่งของรายรับในแต่ละเดือนเข้าบัญชีเงินออมที่แยกไว้
  • แบ่งตามค่าใช้จ่ายจำเป็น: จัดสรรเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก , ค่าน้ำ, ค่าไฟ และค่ารักษาพยาบาล
  • แบ่งตามความต้องการส่วนตัว: แม้จะเน้นวินัย แต่ก็ควรมีงบประมาณสำหรับความสุขส่วนตัว และความบันเทิงบ้าง เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดจนเกินไป แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและไม่กระทบเป้าหมายการออม
  • แบ่งตามภาระหนี้: หากมีหนี้สิน ให้จัดสรรเงินส่วนนี้เพื่อชำระหนี้ให้ตรงเวลาและเต็มจำนวน เพื่อรักษาประวัติทางการเงินที่ดีต่อไป

ในความเป็นจริงแล้ว Tharnkub ในฐานะผู้เขียนขอแนะนำให้ทำการแบ่งเงินอย่างเป็นสัดเป็นส่วนแบบผสมผสาน คือ นำวิธีการแบ่งในหลายลักษณะมาผสมเข้าด้วยกันจนเหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเอง เช่น แบ่งเงินออกเป็น 5 ส่วนประกอบด้วย เงินดาวน์บ้าน, เงินดาวน์รถ, ค่าน้ำค่าไฟ, เที่ยวต่างจังหวัด และเงินชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น จะเห็นว่าวิธีการดังกล่าวนี้จะตอบโจทย์และครอบคลุมการใช้ชีวิตประจำวันได้มากกว่าการแบ่งแบบลักษณะใดลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ

 

(3) วางแผนการใช้จ่ายและออมอย่างมีวินัย

จนถึงตอนนี้ทั้งข้อ 1 – 2 จะไร้ประโยชน์ทันทีหากผู้ออมนั้นขาด “ วินัย” ซึ่งจะเป็นเสาหลักสำคัญให้เกิดการประมาณตนและออมอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อประมาณตนและออมอย่างมีวินัยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดการกับเงินที่แบ่งไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน จะชำระช่วงไหนบ้าง สิ่งใดสำคัญมากน้อยแค่ไหน เรียงลำดับความสำคัญอย่างไร เมื่อเดินทางมาจนถึงขั้นตอนนี้ ภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้าของผู้มีวินัยนั้นก็จะเป็นภาพที่สวยงามที่พร้อมจะเข้าไปบริการจัดการได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

 


 

Tharnkub

2025-07-24 | 19:20:14

24 ก.ค. 2568 Tharnkub
Back To Top