CHANGE INNOVATION MARKET 2025 (CIMK2025) หรือตลาดนัดนวัตกรรม เป็นหนึ่งในรูปแบบการเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมจากผู้เข้าแข่งขันในโครงการแข่งขันแนวคิดนวัตกรรม ประจำปี 2568 (CHANGE INNOVATION AWARDS 2025) เพื่อทำการแข่งขันรอบพิเศษด้วยวิธีการโหวตแบบเปิด (โหวตออนไลน์) แบบรวมทุกหัวข้อการแข่งขัน (ไม่แยกเป็น 3 หัวข้อ) ซึ่งผลงานที่จะนำมาเผยแพร่ในตลาดนัดนวัตกรรมนี้ได้จะต้องมีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 70 คะแนนจากการแข่งขันรอบคัดเลือกและต้องลงทะเบียนให้ความยินยอมในการเผยแพร่ผลงานนวัตกรรม สำหรับปี 2568 นี้มีผลงานเข้าร่วมทั้งสิ้น 18 ผลงาน ซึ่งผู้เข้าแข่งขัน คุณครูที่ปรึกษา ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไป สามารถมีส่วนร่วมด้วยการชมนวัตกรรมทั้งหมดและโหวตให้กับผลงานนวัตกรรมที่ชื่นชอบที่สุด 4 ช่องทาง โดยมีรายละเอียดการโหวตดังต่อไปนี้
ถ้าพร้อมแล้วไปเดินชม 18 ร้าน 18 แนวคิดนวัตกรรมใน SET A เป็นดังนี้
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25AGR001
ชื่อนวัตกรรม: ปะการังสายลับ (Spy Coral)
บทคัดย่อ:
โครงงานชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนา “ปะการังสายลับ” เนื่องจากการศึกษาพบว่าในปัจจุบันที่มีปัญหามลพิษทางน้ํา ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การทิ้งขยะลงทะเล การทํา ประมงที่ไม่ยั่งยืน และการท่องเที่ยวที่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศใต้ทะเล ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นความตั้งใจที่จะพัฒนาอุปกรณ์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์แนวปะการังและระบบนิเวศใต้ทะเล รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งโครงงานปะการังสายลับเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายปะการังธรรมชาติ เพื่อให้สามารถกลมกลืนกับวิ่งแวดล้อมใต้ทะเล โดยภายในติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพน้ํา ในบริเวณโดยรอบเพื่อช่วยในการติดตามและเก็บข้อมูลระบบนิเวศใต้ทะเล อุปกรณ์ดั่งกล่าวจะเก็บค่าข้อมูลสภาพความเป็นกรด-ด่างของน้ํา(pH) อุณหภูมิน้ํา ในบริเวณนั้น และความขุ่นของน้ํา รวมทั้งยังสามารถบันทึกพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตใต้น้ํา ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะสามารถนํา ไปใช้วิเคราะห์แนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศใต้ทะเลได้อย่างแม่นยํา โดยเมื่ออุปกรณ์ชิ้นนี้นํา ไปใช้งานจริง ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงงานนี้คือ การช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะแนวปะการังที่เปราะบาง อีกทั้งยังสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ไม่ทํา ลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทําให้ทรัพยากรธรรมชาติฟื้นตัวและคงอยู่ต่อไปได้ยาวนานยิ่งขึ้น โครงงานนี้จึงถือเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ากับการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถนํา ไปต่อยอดใช้งานได้จริงในอนาคต
คําสําคัญ: ปะการังเทียม,ระบบนิเวศใต้ทะเล,เซนเซอร์ตรวจคุณภาพน้ํา ,การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม,การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
วิดีโอนำเสนอ: รับชมได้ที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25AGR005
ชื่อนวัตกรรม: การพัฒนากระดาษจากเส้นใยเศษเหลือทิ้งทางการเกษตรที่ปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของเส้นใย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (THE ECO PAD)
บทคัดย่อ:
ปัจจุบันประเทศไทยกําลังประสบปัญหามลพิษทางอากาศ เนื่องมาจากพื้นที่ในภูมิภาคส่วนใหญ่ทําการเกษตรตกรรมปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการนําวัสดุที่เหลือทิ้งทางการเกษตร ทําให้เกิดมลพิษสะสมเป็นจํานวนมาก จึงเกิดการแพร่กระจายของฝุ่น pm 2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย รวมถึงสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดสภาวะโลกร้อนมากยิ่งขึ้น (เศรษฐ์สัมภัตตะกุล และคณะ,2561) จากการสืบค้นพบว่า ข้าวเป็นพืชที่มีการปลูกจํานวนมากและยังเป็นพืชทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยผลผลิตที่ได้จะถูกนําไปแปรรูปในช่วงของฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิตจะมีเศษเหลือทิ้งทางการเกษตรคือ ฟางข้าว โดยส่วนใหญ่เกษตรกรจะนําไปจํากัดอย่างผิดวิธีไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือการเผาทิ้งซึ่งก่อให้เกิดควันและมลพิษจากการเผาไหม้ ทําลายชั้นบรรยากาศโลกและสุขภาพอนามัยของประชากรในชุมชนที่อาศัยในพื้นที่นั้น งานวิจัยนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาความเป็นไปได้ในการนํา ฟางข้าว ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่าในการผลิตกระดาษจากฟางข้าวให้เป็นทางเลือกที่จะนําเส้นใยมาแปรรูปเป็นกระดาษจากเส้นใยชีวภาพ โดยการเตรียมเยื่อกระดาษผ่านกระบวนการให้ความร้อนและปรับปรุงคุณภาพด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์(NaOH) แล้วนําไปผ่านกระบวนการปั่นและแยกเส้นใย จากนั้นนําเยื่อที่ได้ไปขึ้นรูปเป็นแผ่นกระดาษ และทดสอบ คุณสมบัติเพื่อเปรียบเทียบกระดาษที่ผลิตจากเส้นใยประเภทอื่นๆ จากการทดสอบงานวิจัยจะดําเนินการ ทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของกระดาษชีวภาพี่ผลิตได้ โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ ความหนา ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อ ความแข็งแรง และศักยภาพในการประยุกต์ใช้ประโยชน์นอกจากนี้ยังรวมถึงการประเมิน ความเรียบเนียน ของพื้นผิวเพื่อนําไป สู่การเปรียบเทียบเชิงประสิทธิภาพกับกระดาษที่ผลิตจากเส้นใยประเภทอื่น การพัฒนานวัตกรรมกระดาษชีวภาพจากเส้นใยฟางข้าว จึงเป็นก้าวสําคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษจากการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรเหลือใช้ และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย
คําสำคัญ: ฟางข้าว วัสดุเหลือทิ้งทางเกษตร PM2.5 มลพิษทางอากาศ สิ่งแวดล้อม กระดาษชีวภาพ เพิ่มมูลค่า โซเดียมไฮดร
อกไซด์(NaOH) ความหนา คุณสมบัติทางกายภาพ
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25AGR018
ชื่อนวัตกรรม: ท่อเพาะเห็ดด้วยระบบทำความเย็นแบบระเหย (Evaporative Cooling System for Mushrooms Cultivation Tubes)
บทคัดย่อ:
เห็ด เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นที่นิยมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ แต่ทว่าในปัจจุบันมีเกษตรกรเพาะเห็ดลดน้อยลง เนื่องจากประสบปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกเห็ด โดยเฉพาะในเรื่องสภาพอากาศในปัจจุบันที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเห็ดที่เจริญเติบโตโนโรงเรือนเพาะเห็ดแบบทั่วไปที่เกษตรกรนิยมใช้ โครงงานนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและออกแบบนวัตกรรมท่อเพาะเห็ดด้วยระบบทำความเย็นแบบระเหย ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น 2) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพระบบท่อเพาะเห็ดด้วยระบบทำความเย็นแบบระเหยโดยขั้นตอนการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ออกแบบและพัฒนาระบบท่อเพาะเห็ดที่ดีที่สุด โดยใช้เทคโนโลยี Evaporative Cooling System มาควบคุมปัจจัยทางกายภาพที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ด ตอนที่ 2 ทดสอบประสิทธิภาพระบบท่อเพาะเห็ดด้วยระบบทำความเย็นแบบระเหย โดยเปรียบเทียบคุณภาพของช่อดอกเห็ดที่เจริญเติบโตในระบบท่อเพาะเห็ดและโรงเรือนเพาะเห็ดแบบปกติ เห็ดและการปลูกในโรงเรือนทั่วไป พบว่า น้ำหนักของช่อดอกเห็ดที่ปลูกในระบบท่อเพาะเห็ดมากกว่าเห็ดที่ปลูกในโรงเรือนทั่วไปถึง 7.5 เท่า และมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้น้ำหนักเฉลี่ยของช่องช่อดอกเห็ดที่ปลูกในท่อเพาะเห็ดที่ออกในแต่ละครั้งมากว่าเห็ดนางฟ้าที่ปลูกในโรงเรือนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทุกครั้งใน 1 รอบการปลูก อีกทั้งท่อเพาะเห็ดนางฟ้ายังมีต้นทุนและค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโรงโรงเรือนทั่วไปอีกด้วย
คำสำคัญ: เห็ด; ปัจจัยทางกายภาพที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ด; ระบบท่อเพาะเห็ด
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25AGR069
ชื่อนวัตกรรม: ระบบปลูกพืชไฮโดรโพนิกไร้พลังงานไฟฟ้าโดยใช้หลักการแอร์ลิฟต์และทรอมป์ (Non-Electrical Hydroponic System Using Air Lift and Trompe Principles)
บทคัดย่อ:
เนื่องในปัจจุบันการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบปลูกพืชไฮโดรโพนิกก่อให้เกิดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของกระบวนการผลิตอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไฟฟ้าไม่เสถียรหรือไม่มีไฟฟ้าใช้ อีกทั้งยังส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งสะท้อนออกมาในราคาของผักที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ นอกจากนี้ระบบที่ใช้ไฟฟ้ายังสร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานและวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่ยั่งยืน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงจูงใจท าให้ผู้จัดท าได้พัฒนานวัตกรรมนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบไฮโดรโพนิกที่สามารถหมุนเวียนน้ำโดยไม่พึ่งพาไฟฟ้า ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทางฟิสิกส์ ได้แก่ กลไกแอร์ลิฟต์ (Air Lift) ซึ่งอาศัยแรงดันจากอากาศในการยกน้ำขึ้น และกลไกทรอมป์ (Trompe) ซึ่งใช้การไหลของน้ำสร้างแรงดันอากาศเข้าสู่ระบบได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานภายนอกจากผลการศึกษาพบว่าระบบปลูกพืชไฮโดรโพนิกไร้พลังงานไฟฟ้าโดยใช้หลักการแอร์ลิฟต์และทรอมป์สามารถท าได้จริง โดยระบบต้นแบบได้รับการออกแบบให้เป็นวงจรปิด น้ำที่ไหลออกจากระบบปลูกพืชไฮโดรโพนิกจะไหลเข้าสู่อ่างน้ำและไหลลงไปที่ถังเก็บน้ำ ระหว่างที่น้ำไหลลงจะเกิดกระแสน้ำวนทำให้เกิดบริเวณความดับต่ำที่ใจกลางน้ำวนและดึงอากาศลงมาที่ถังเก็บน้ำ จากนั้นน้ำและอากาศจะถูกผสมกันและไหลออกทางท่อที่ส่วนบนของถังน้ำ ยกน้ำขึ้นและเข้าสู่ระบบไฮโดรโพนิกอีกครั้ง ซึ่งน้ำจะไหลกลับลงสู่ถังพักอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำหรือไฟฟ้าในการทำงาน ผลการทดสอบเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าน้ำสามารถไหลเวียนได้สม่ำเสมอเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืชระบบสามารถประกอบด้วยวัสดุพื้นฐานที่หาได้ง่ายและต้นทุนต่ำ เหมาะสำหรับนำไปใช้ในชุมชน โรงเรียน หรือพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้นวัตกรรมนี้สามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอาหารของประชาชนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนในอนาคต
คำสำคัญ: ระบบไฮโดรโพนิก, แอร์ลิฟต์, ทรอมป์, ระบบไม่ใช้พลังงานไฟฟ้ํา, เกษตรยั่งยืน, การหมุนเวียนน้ำ
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25AGR078
ชื่อนวัตกรรม: แผงโซลาร์เซลล์จากเศษผักและผลไม้ (GreenVolt)
บทคัดย่อ:
ในปัจจุบัน พลังงานสะอาดได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน ท่ามกลางปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและข้อจำกัดของแหล่งพลังงานเดิม โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปที่ยังมีข้อจำกัดในการผลิตกระแสไฟฟ้าในสภาพแสงน้อย เช่น เวลาฝนตกหรือช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทีม Planetpath จึงพัฒนาระบบ GreenVolt ซึ่งเป็นการพัฒนาแผ่นฟิล์มเรืองแสงจากเศษพืชผักผลไม้ในท้องถิ่นเพิ่มการดูดซับพลังงานแสงสำหรับแผงโซลาร์เซลล์ เช่น มะนาว มะรุม คะน้า และแครอท ซึ่งมีสารเรืองแสงตามธรรมชาติอย่างฟลาโวนอยด์และคลอโรฟิลล์ที่สามารถดูดซับรังสี UV และเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อลดข้อจำกัดของแผงโซลาร์เซลล์เดิม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสภาพแสงต่ำ ใช้ทรัพยากรเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ ลดขยะอินทรีย์และคาร์บอนฟุตพรินต์จากกระบวนการผลิต ตลอดจนส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น
หลังการศึกษาและพัฒนาต้นแบบ GreenVolt ได้มีการทดสอบเบื้องต้นในพื้นที่จังหวัดสตูล โดยติดตั้งในโรงเรือนขนาดเล็กและบ้านเรือนในชุมชน ผลการทดสอบพบว่าแผงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในระดับเฉลี่ย 60-70% ของช่วงแสงปกติ อีกทั้งยังสามารถถอดเปลี่ยนแผ่นชีทชีวภาพได้ง่ายเมื่อหมดอายุการใช้งานโดยไม่ต้องเปลี่ยนทั้งโครงแผง ทำให้สามารถลดต้นทุนการใช้งานลงได้ราว 20-30% ขณะเดียวกันกลุ่มทดลองให้ความพึงพอใจในด้านความคุ้มค่า ความสวยงาม และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึง 80% พร้อมข้อเสนอแนะด้านความทนทานเพื่อนำไปปรับปรุงในรุ่นถัดไป นวัตกรรม GreenVolt จึงไม่เพียงเป็นทางเลือกใหม่ของการใช้พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้ง่ายและเหมาะกับการใช้งานจริง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่อย่างแท้จริง
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25ENG024
ชื่อนวัตกรรม: การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไบโอฟิล์มที่มีคุณสมบัติกําจัดการเกิดฝ้าขาวบนลิ้น (Development of a biofilm-based product for the prevention of white coating formation on the tongue)
บทคัดย่อ:
ฝ้าขาวบนลิ้นเป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเศษอาหาร เซลล์เยื่อบุช่องปากที่หลุดลอก และแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะ Streptococcus mutans จนก่อตัวเป็นคราบจุลินทรีย์หรือ Biofilm ที่ฝังแน่นบนผิวลิ้นปัญหานี้อาจดูเล็กน้อยในชีวิตประจําวัน แต่กลับเป็นสาเหตุสําคัญของกลิ่นปาก ฟันผุ และโรคเหงือก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถทําความสะอาดช่องปากได้อย่างทั่วถึง ปัจจุบันวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวมีจํากัดและยังพึ่งพาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจําวัน แนวคิดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไบโอฟิล์มที่มีคุณสมบัติกําจัดการเกิดฝ้าขาวบนลิ้น จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยออกแบบให้เป็นแผ่นฟิล์มบาง แบบ 3 ชั้น ที่สามารถแนบติดกับผิวลิ้นได้ดี ปล่อยสารออกฤทธิต้านแบคทีเรียจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และมีโครงสร้างที่คงรูปภายใต้สภาพในช่องปากส่วนประกอบหลักของไบโอฟิล์ม ได้แก่ สารสกัดจากชาเขียวที่มีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ แป้งมันสําปะหลังที่เป็นวัสดุตั้งต้นในการสร้างฟิล์มชีวภาพ ไคโตซานที่มีคุณสมบัติยึดเกาะผิวและต้านเชื้อแบคทีเรีย hydroxypropyl methylcellulose (HPMC) ที่ช่วยสร้างฟิล์มให้คงตัว กลีเซอรีนที่เพิ่มความยืดหยุ่น และเปลือกทุเรียนที่ทําหน้าที่เสริมแรงให้แก่ฟิล์ม ทั้งหมดเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค นอกจากตอบโจทย์ด้านสุขภาพช่องปากแล้ว นวัตกรรมนี้ยังมีความสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการใช้วัสดุภายในประเทศที่เหลือใช้จากการเกษตร เช่น เปลือกทุเรียน ซึ่งช่วยลดของเสีย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาพลาสติกหรือสารเคมีสังเคราะห์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้หลายรูปแบบ เช่น ผลิตภัณฑ์เร่งด่วนลดกลิ่นปากสําหรับผู้จัดฟัน หรือฟิล์มชีวภาพเพื่อดูแลช่องปากผู้สูงอายุ โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ทําความสะอาดที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือสูญเสียการรับรสการพัฒนานวัตกรรมไบโอฟิล์มในครั้งนี้ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ผสมผสานความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชาชน ควบคู่กับการใส่ใจต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล นับเป็นแนวทางการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพเชิงสุขภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถผลักดันให้เข้าสู่ระดับอุตสาหกรรมในอนาคตต่อไปได้
คําสําคัญ: ฝ้าขาวบนลิ้น ไบโอฟิล์ม สุขภาพช่องปาก สารออกฤทธิต้านแบคทีเรีย ์
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25ENG030
ชื่อนวัตกรรม: EcoTriHybridE:นวัตกรรมสร้างพลังงานไฟฟ้าเเม้ไม่มีเเดดก๊สร้างพลังงานได้อย่างง่ายดาย (EcoTriHybridE:A breakthrough energy innovation that can generate electricity without relying on sunlight)
บทคัดย่อ:
ในยุคที่พลังงานไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน และโลกกำลังเผชิญกับปัญหาการใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด แนวคิดในการสร้างแหล่งพลังงานทางเลือกจึงกลายเป็นความท้าทายสำคัญในแวดวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การมองหาแนวทางใหม่ในการผลิตพลังงานจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวจึงเป็นแรงบันดาลใจในการจัดทำโครงงานนี้ ผู้จัดทำได้นำเสนอแนวคิดในการสร้างนวัตกรรมที่ผสานการทำงานของเทคโนโลยีสามรูปแบบ ได้แก่ โซลาร์เซลล์ (Solar Cell) สำหรับผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพียโซอิเล็กทริก (Piezoelectric) ซึ่งเปลี่ยนแรงกดหรือแรงสั่นสะเทือนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และนาโนเจนเนอเรเตอร์แบบไทรโบอิเล็กทริก (Triboelectric Nanogenerator:TENG) ที่อาศัยหลักการของไฟฟ้าสถิตจากการเสียดสี การผสานเทคโนโลยีทั้งสามนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเก็บเกี่ยวพลังงานได้หลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวัน ขณะฝนตก ลมแรง หรือพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวสูงหรือต่ำ โดยต้นแบบที่ออกแบบขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการนำระบบไปประยุกต์ใช้จริง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง หรือกับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น ระบบเซนเซอร์ IoT ที่ต้องการแหล่งพลังงานอิสระและต่อเนื่อง โครงงานนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานระบบพลังงานทางเลือกแบบผสมผสาน ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงได้อย่างยั่งยืน โดยสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป้าหมายที่7, 9 และ 13 อันได้แก่ การเข้าถึงพลังงานสะอาด การส่งเสริมนวัตกรรมอุตสาหกรรม และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
คำสำคัญ: พลังงงานทางเลือก, โซลาเซลล์, เพียโซอิเล็กทริก, TENG, ระบบผสมผสํานพลังงาน, IoT, SDGs
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25ENG040
ชื่อนวัตกรรม: แพลตฟอร์มอัจฉริยะพยากรณ์และเตือนภัยระดับน้ำทั่วประเทศ (A National-Scale Intelligent Platform for Water Level Forecasting and Alerting)
บทคัดย่อ:
ปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีความซับซ้อนทางภูมิศาสตร์นวัตกรรมนี้จึงมุ่งพัฒนา "แพลตฟอร์มอัจฉริยะพยากรณ์และเตือนภัยระดับน้ำทั่วประเทศ"โดยมีอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่นําร่องในการพัฒนา เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายน้ำที่เผชิญปัญหาน้ำท่วมและน้ำทะเลหนุนสูงเป็นประจำ แม้จะมีโครงการในพระราชดําริ(รัชกาลที่ 9) ที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำเค็มและน้ำเปรี้ยว แต่ยังไม่สามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมจากระดับน้ำที่สูงขึ้นได้นวัตกรรมนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลอนุกรมเวลา ประกอบด้วยระดับน้ำ,อัตราการระบายน้ำเฉลี่ย และปริมาณน้ำฝน จากสำนักชลประทานที่ 15 จำนวน 1,360 ชุด (พ.ศ. 2564-2567) และนํามาสร้างแบบจําลองการทํานายด้วยเทคนิคการสุ่มป่าไม้แบบถดถอย (Random Forest Regressor) ผ่านกระบวนการ Machine Learning บน Visual Studio Code ด้วยภาษา Python แบบจําลองที่พัฒนาขึ้นมีความแม่นยําในการทํานายสูงถึงร้อยละ 88 ซึ่งสูงกว่าการพยากรณ์ของกรมอุทกศาสตร์และได้ถูกนํามาพัฒนาต่อยอดเป็น Web Application ที่มีคุณสมบัติครบวงจร ประกอบด้วย (1) การแสดงผลข้อมูลแบบ Real-time ตามตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้, (2) การพยากรณ์ระดับน้ำสูงสุดรายวัน , (3) แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงรายตำบล (Heatmap) , (4) ระบบแจ้งเตือนภัยอัตโนมัติผ่านอีเมลเมื่อระดับน้ำสูงเกินเกณฑ์ 0.9 เมตร และ (5) ระบบรายงานผลย้อนหลัง นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังถูกออกแบบให้สามารถขยายผลได้ทั่วประเทศ และเปิดให้บริการผ่าน API เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนสามารถนําข้อมูลไปต่อยอดได้นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำและลดความเสียหายจากภัยพิบัติ แต่ยังสนับสนุนให้ภาคเกษตรกรรมและการประมงสามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมีข้อมูล ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเสริมความมั่นคงและนําไปสู่การจัดการน้ำอย่างยั่งยืนในระดับประเทศ
คำสำคัญ: การพยากรณ์ระดับน้ำ, แมชชีนเลินนิง, แพลตฟอร์มเตือนภัย, การจัดการน้ำอัจฉริยะ, Random Forest
Regressor
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25ENG063
ชื่อนวัตกรรม: ต้นแบบระบบอัจฉริยะเพื่อการดูดซับและแปลงคาร์บอนไดออกไซด์เป็นพลังงานไฟฟ้า (AI-GreenPower: Transforming CO₂ into Clean Electricity)
บทคัดย่อ:
ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากภาคอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้ายังคงเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ขณะเดียวกัน ความต้องการพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและยั่งยืนก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นําไปสู่ความจําเป็นในการคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถดูดซับ CO2 พร้อมสร้างพลังงานที่สามารถนําไปใช้งานได้จริงแนวคิดนวัตกรรม “ระบบดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า”จึงมีจุดประสงค์เพื่อกําจัดคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่ส่งผลเสีย เพื่อนํามาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า นวัตกรรมนี้มีองค์ประกอบหลัก 6 โมดูล โดยแต่ละโมดูลออกแบบให้ทํางานอย่างสัมพันธ์กัน ดังนี้: (1) โมดูลดูดอากาศ (Air Intake Module): ใช้พัดลมอุตสาหกรรมแรงดันสูงเพื่อดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่ระบบ โดยมีการติดตั้งแผ่นกรองฝุ่นละเอียด (HEPA Filter) เพื่อดักจับอนุภาคแขวนลอย ป้องกันสิ่งเจือปนที่อาจรบกวนกระบวนการดูดซับ CO2 ในขั้นถัดไป (2) โมดูลดูดซับ CO2 (CO2 Capture Module): อากาศที่ถูกกรองจะถูกส่งผ่านไปยังห้องดูดซับซึ่งบรรจุวัสดุ Zeolite ซึ่งมีความสามารถเฉพาะในการดูดซับโมเลกุล CO2 โดยมีการควบคุมแบบเรียลไทม์ด้วยเซ็นเซอร์ NDIR (Non-Dispersive Infrared) ที่ตรวจวัดความเข้มข้นของ CO2 และสั่งการควบคุมอุณหภูมิ-ความดันให้เหมาะสม (3) โมดูลแปลง CO2 เป็นเมทานอล (Photoelectrochemical CO2 Reduction Module): เมื่อ Zeolite อิ่มตัว ระบบจะทําการปลดปล่อย CO2 เข้าสู่เซลล์ PEC (Photoelectrochemical Cell) ซึ่งใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงานในการกระตุ้นกระบวนการรีดักชันแปลง CO2 ให้กลายเป็นเมทานอล โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาแบบ semiconductor (Cu-based catalysts) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (4) โมดูลผลิตไฟฟ้า (Direct Methanol Fuel Cell - DMFC Module): เมทานอลที่ได้จากขั้นตอนก่อนหน้าจะถูกส่งเข้าสู่เซลล์เชื้อเพลิงแบบ DMFC ซึ่งแปลงพลังงานเคมีของเมทานอลให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านปฏิกิริยาอิเล็กโทรเคมี โดยไม่เกิดการเผาไหม้ ทําให้เป็นกระบวนการที่สะอาดและมีประสิทธิภาพสูง (5) โมดูลจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage Module): พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกนําไปเก็บในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) เพื่อรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟและควบคุมการชาร์จ-ดิสชาร์จให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (6) โมดูลควบคุมอัจฉริยะ (AI-Based Energy Management Module): ระบบควบคุมกลางทํางานด้วย Edge Computing และใช้โมเดล Machine Learning หลายแบบร่วมกัน ได้แก่ Feedforward Neural Network ควบคุมการดูดซับ CO2, Q-Learning ปรับปรุงการแปลง CO2 แบบเรียลไทม์, LSTM พยากรณ์พฤติกรรมการใช้พลังงานและบริหารการเก็บสํารอง, Fuzzy Logic ควบคุมพารามิเตอร์หลายตัวแปรที่ไม่แน่นอน และ Convolutional Neural Network วิเคราะห์ภาพคุณภาพเมทานอลก่อนนําเข้าสู่ DMFC นวัตกรรมนี้มุ่งเน้นการประยุกต์เทคโนโลยีหลากหลายแขนงเข้าด้วยกัน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างระบบที่ไม่เพียงดูดซับ CO2 จากแหล่งกําเนิด แต่ยังสามารถแปลงคาร์บอนให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตอบโจทย์อุตสาหกรรมที่ต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ ระบบยังมีความยืดหยุ่นในการปรับใช้งานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ด้วยความสามารถในการจัดการพลังงานแบบอัตโนมัติและเรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อเนื่องในระยะยาว จึงมีศักยภาพเป็นต้นแบบของนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
คำสำคัญ: คาร์บอนไดออกไซด์, ปัญญาประดิษฐ์, Edge Computing, Photoelectrochemical CO2 Reduction, Direct
Methanol Fuel Cell, เซ็นเซอร์ NDIR , Zeolite , Fuzzy Logic , HEPA Filter , Convolutional Neural Network
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25ENG064
ชื่อนวัตกรรม: ระบบตรวจจับและคาดการณ์โอกาสเกิดไฟป่าด้วยเครือข่ายเซ็นเซอร์และปัญญาประดิษฐ์ (Wildfire Detection and Risk Prediction System Using Sensor Networks and Artificial Intelligence)
บทคัดย่อ:
แนวคิดนวัตกรรมชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและติดตั้งระบบตรวจจับปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดไฟป่า เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความเข้มข้นของก๊าซ และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ โดยใช้เครือข่ายเซ็นเซอร์แบบกระจายตัวทั่วป่า 2) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ด้วยเทคนิค AI หรือ Machine Learning สำหรับประเมินความเสี่ยงการเกิดไฟป่า และตรวจจับความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของไฟ และ 3) เพื่อแจ้งเตือนเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่าไปยังศูนย์กลางหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โดยเก็บข้อมูลปัจจัยเสี่ยงจากเซ็นเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ใน Detection Unit ที่จะติดตั้งเป็นเครือข่ายแบบกระจายตัว โดยมีระยะห่างกันประมาณ 150 – 200 เมตร Detection Unit 1 Unit จะประกอบด้วยกัน 2 ส่วน ส่วนที่ 1 Main Unit จะติดตั้งอยู่ข้างต้นไม้ที่ความสูงประมาณ 1.5 – 2 เมตร ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลปัจจัยที่ก่อให้เกิดไฟป่าได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นภายในอากาศ และควัน จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยัง Center ผ่านทางดาวเทียม เพื่อเก็บข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ส่วนที่ 2 Ground Unit จะติดตั้งอยู่บริเวณพื้นดินใกล้กับ Main Unit ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลความชื้นในดิน จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยัง Main Unit ผ่าน LoRa เพื่อรวมกับค่าของปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้วิเคราะห์ปริมาณเขื้อเพลิงที่สามารถติดตั้งได้ง่าย Detection Unit ทั้ง 2 ส่วนจะประกอบด้วยผนัง 3 ชั้น เพื่อป้องกันความเสียหายจากสภาพแวดล้อมในป่า โดยประกอบด้วย ชั้นนอกสุดเป็น สแตนเลต 304 เพื่อเสริมความแข็งแรง ชั้นตรงกลางเป็น Calcium Slicated Board ที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน และชั้นสุดท้ายเป็น Polycarbonate ที่ทำหน้าที่เก็บรักษาเซ็นเตอร์และอุปกรณ์ภายในซึ่งจะได้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และ Solar Cell โดยค่าที่วัดได้จะถูกส่งผ่านทางดาวเทียมไปยัง Center เพื่อจะนำไปแสดงผลพร้อมอ้างอิงด้วยแผนที่ของป่า เพื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นถึงสภาพแวดล้อมของป่าในแต่ละบริเวณ ควบคู่ไปกับ AI ที่จะนำข้อมูลของสภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลภายนอก เพื่อมาใช้ในการช่วยวิเคราะห์โอกาสที่จะเกิดไฟป่า พร้อมทั้งนำเอาทิศทางลมเพื่อใช้ในการคาดการณ์ทิศทางการขยายตัวของไฟป่า นอกจากนี้ยังมี Detection Unit แบบพิเศษเพื่อใช้ในบริเวณที่เกิดไฟป่าได้บ่อย หรือ บริเวณที่มีมนุษย์พลุกพลาน ซึ่งจะติดตั้งเซ็นเซอร์พิเศษได้แก่ กล้อง อินฟราเรด เพื่อตรวจจับจุดที่มีความร้อนสูงผิดปกติ
ระบบนี้จะช่วยในการตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของไฟป่า ก่อนที่จะเกิดเปลวไฟจริง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขอบเขตในการดูแลของเจ้าหน้าที่ให้สูงยิ่งขึ้น ลดโอกาสการเกิดไฟป่าซึ่งเป็นสาเหตุของความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม ทั้งมลพิษ และระบบนิเวศภายในป่า
คำสำคัญ: ไฟป่า, การตรวจจับระยะเริ่มต้น, เซ็นเซอร์, การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI, ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
อ่านต่อนวัตกรรมอื่น SET B ที่นี่
ฝ่ายวิชาการ
กองอำนวยการการแข่งขัน
15:02:37 | 15:02:42