CHANGE INNOVATION MARKET 2025 (CIMK2025) หรือตลาดนัดนวัตกรรม เป็นหนึ่งในรูปแบบการเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมจากผู้เข้าแข่งขันในโครงการแข่งขันแนวคิดนวัตกรรม ประจำปี 2568 (CHANGE INNOVATION AWARDS 2025) เพื่อทำการแข่งขันรอบพิเศษด้วยวิธีการโหวตแบบเปิด (โหวตออนไลน์) แบบรวมทุกหัวข้อการแข่งขัน (ไม่แยกเป็น 3 หัวข้อ) ซึ่งผลงานที่จะนำมาเผยแพร่ในตลาดนัดนวัตกรรมนี้ได้จะต้องมีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 70 คะแนนจากการแข่งขันรอบคัดเลือกและต้องลงทะเบียนให้ความยินยอมในการเผยแพร่ผลงานนวัตกรรม สำหรับปี 2568 นี้มีผลงานเข้าร่วมทั้งสิ้น 18 ผลงาน ซึ่งผู้เข้าแข่งขัน คุณครูที่ปรึกษา ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไป สามารถมีส่วนร่วมด้วยการชมนวัตกรรมทั้งหมดและโหวตให้กับผลงานนวัตกรรมที่ชื่นชอบที่สุด 4 ช่องทาง โดยมีรายละเอียดการโหวตดังต่อไปนี้
ถ้าพร้อมแล้วไปเดินชม 18 ร้าน 18 แนวคิดนวัตกรรมใน SET B เป็นดังนี้
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25ENG070
ชื่อนวัตกรรม: เครื่องผลิตน้ำตาลกลูโคสจากกระบวนการวัฏจักรคาลวินเทียม (Glucose Production System via Artificial Calvin Cycle)
บทคัดย่อ:
จากสถานการณ์ปัจจุบัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลจากภาคพลังงาน การคมนาคม และอุตสาหกรรม ทำให้โลกกำลังเผชิญกับภาวะ โลกเดือด (Global Boiling) ซึ่งก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและความเสียหายทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) จึงถูกนำมาใช้เผื่อบรรเทาผลกระทบ โดยส่วนใหญ่อาศับการกักเก็บ CO2 ไว้ในพื้นที่ปลอดภัยหรือการนำ CO2 ไปใช้เป้นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมบางประเภท แม้จะสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายแต่แนวทางการเพิ่มมูลค่า CO2 ไปสู่สารเคมีมูลค่าสูงหรือการต่อยอดสู่การใช้งานใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมต่างๆ ยังมีข้อจำกัดและช่องว่างทางเทคโนโลยี เพื่อขยายขอบเขตการใช้ประโยชน์จาก CO2 ให้กว้างขึ้น โครงการนี้นำเสนอ SynCal เครื่องต้นแบบที่ออกแบบมาเพื่อจำลองวงจรคาลวิน (Calvin Cycle) ในห้องปฏิบัติการ โดยใช้ชุด Reactor แบบต่อเนื่องหลายขั้นตอน ภายใน Reactor จะติดตั้งเอนไซม์ในลักษณะ Immobilization บนแผ่น Silica Gel เรียงซ้อนกันเพื่อให้สารตั้งต้นไหลเวียนและเกิดปฏิกิริยาได้สูงสุด ในขั้นตอนแรก CO2 จะทำปฏิกิริยากับ Ribulose-1,5-bisphosphate (RuBP) ผ่าน Rubisco เพื่อสร้าง PGA จากนั้น PGA จะถูกเปลี่ยนเป็น Glyceraldehyde-3-phosphate (G3P) ด้วย PGK และ GAPDH โดยใช้ ATP และ NADPH ซึ่งรีไซเคิลได้จากระบบ Reactor reduce ที่ควบคุมสภาวะให้มี H+ เพียงพอกระบวนการต่อเนื่องจาก RuBP กลับมา และส่ง G3P ส่วนหนึ่งไปผลิตเป็น กลูโคส ผ่านเอนไซม์ Aldolase, FBPase, Phosphopentose isomerase (PPI) และ Glucose-6-phosphatase (G6Pase) ระบบทั้งหมด (ยกเว้น Reactor reduce) ทำงานที่ pH 7-8 และอุณหภูมิห้อง เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงานของเอนไซม์ตลอดกระบวนการจะมีการหมุนเวียน Mg2+ สำหรับตกตะกอน Pi เพื่อลดของเสียส่วนเกิน SynCal จึงเป็นวัตกรรมที่นำ CO2 มาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการแปรรูปเป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบต้นน้ำในอุตสาหกรรมต่างๆ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอน (Carbon Circular Economy) ที่ยั่งยืนในอนาคต
คำสำคัญ: ภาวะโลกเดือด, วัฏจักรคาลวิน, การดักจับคาร์บอน, การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์, เครื่องต้นแบบ SynCal, เอนไซม์แบบตรึงสภาพ, น้ำตาลกลูโคส, เศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอน, เครดิตคาร์บอน, เทคโนโลยีชีวภาพ
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED008
ชื่อนวัตกรรม: การพัฒนาเครื่องวิเคราะห์อะซิโตนในลมหายใจร่วมกับโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวานเบื้องต้น (Development of a Breath Acetone Analyzer Integrated with Deep Learning Models for Preliminary Diabetes Risk Assessment)
บทคัดย่อ:
ในปัจจุบันโรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในประเทศไทยพบว่า ประชากรอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีอัตราการป่วยในโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 6.9 ในปี พ.ศ. 2547 เป็น ร้อยละ 8.8 ใน ปี พ.ศ. 2557 (สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, 2557) และแนวโน้มของโรคเบาหวานยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันวิธีในการวินิจฉัยและติดตามอาการของโรคเบาหวานส่วนใหญ่ตรวจสอบโดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหรือ BGM (Blood Glucose Monitoring) ซึ่งต้องใช้การเจาะเลือดที่อาจสร้างความไม่สะดวกแก่ผู้ป่วย อีกทั้งยังมีข้อจำกัดทั้งในด้าน ค่าใช้จ่ายและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ส่งผลให้กลุ่มผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสม จาก ปัญหาดังกล่าวคณะผู้จัดทำจึงคิดค้นและสร้างอุปกรณ์ตรวจคัดกรองความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานเบื้องต้น
โดยผู้พัฒนาได้มีแนวคิดที่จะสร้างอุปกรณ์ประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวานเบื้องต้นโดยไม่ต้องอาศัยการเจาะเลือด อุปกรณ์นี้จะใช้การวิเคราะห์ระดับอะซิโตนในลมหายใจ (Breath Acetone Analysis) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarker) ของภาวะคีโตซิส (Ketosis) ที่สัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือด โดยระดับอะซิโตนในลมหายใจสามารถสะท้อนภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) และกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ โดยมีการใช้เซ็นเซอร์ TGS1820 ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ ชนิดออกไซด์โลหะ (Metal Oxide Semiconductor: MOS) ที่มีความไวสูงต่อโมเลกุลอะซิโตน โดยสามารถเชื่อมต่อกับเว็ป แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามผลการวิเคราะห์ได้แบบเรียลไทม์และบันทึกผลการตรวจวัดในแต่ละ ครั้ง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลเบื้องต้นของผู้ใช้งานและนำข้อมูลการตรวจวัดเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ด้วย โมเดล ปัญญาประดิษฐ์เชิงลึก (Al-based Deep Learning Model) เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และทำการออกแบบ ให้สามารถพกพาได้สะดวกและใช้งานง่าย ไม่ต้องเจาะเลือด ทำให้สามารถใช้ในการคัดกรองและติดตามระดับความเสี่ยงของ โรคเบาหวานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
คำสำคัญ: โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) ; อะซิโตน(Acetone); อุปกรณ์(Accessories); แอปพลิเคชัน(Application)
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED009
ชื่อนวัตกรรม: แผ่นแปะ LED ต้านเชื้อผู้ช่วยฟื้นฟูแผลยุคใหม่ร่วมกับไฮโดรเจลสมุนไพร เพื่อเร่งการสมานแผลในผู้ป่วยเบาหวาน (Smart light patch)
บทคัดย่อ:
ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาแผลเรื้อรังที่หายช้าโดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งอาจนําไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อรุนแรงและการสูญเสียอวัยวะ โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา “Smart light patch” สำหรับช่วยเร่งการสมานแผลโดยการผสานเทคโนโลยีแสง LED, ไฮโดรเจลจากวัสดุชีวภาพ, สารสกัดจากใบบัวบก และระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับอาการแผลแบบเรียลไทม์แผ่นแปะนี้ใช้แสง LED สีแดง สีเหลือง และ Near-Infrared (NIR) เพื่อกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อโรค โดยทำงานร่วมกับไฮโดรเจลที่ปลอดภัย ย่อยสลายได้เอง และมีฤทธิ์สมานแผลจากใบบัวบก เสริมด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่ตรวจวัดความชื้น อุณหภูมิ และระดับการติดเชื้อของแผล พร้อมเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนมือถือที่ให้คำปรึกษาจากแพทย์แบบเรียลไทม์และแจ้งเตือนเมื่อแผลมีความเสี่ยงผลการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นพบว่า การใช้แสง LED ร่วมกับแผ่นแปะสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น 30-50% เมื่อเทียบกับการรักษาทั่วไป โดยลดระยะเวลาการหายของแผลเบาหวานจาก 30–60 วัน เหลือเพียง 20–35 วัน นวัตกรรมแผ่นแปะ LED ต้านเชื้อผู้ช่วยฟื้นฟูแผลยุคใหม่ร่วมกับไฮโดรเจลสมุนไพรเพื่อเร่งการสมานแผลในผู้ป่วยเบาหวาน จึงมีศักยภาพสูงในการนําไปใช้ในผู้ป่วยที่บ้าน ลดภาระการเดินทาง ลดค่าใช้จ่าย ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้วัสดุชีวภาพนวัตกรรมแผ่นแปะ LED ต้านเชื้อผู้ช่วยฟื้นฟูแผลยุคใหม่ร่วมกับไฮโดรเจลสมุนไพรเพื่อเร่งการสมานแผลในผู้ป่วยเบาหวาน เป็นการพัฒนาเชิงนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง โดยเฉพาะในกลุ่ม HealthTech และตลาดสามารถดูแลผู้ป่วยเบาหวานได้ทั้งในและต่างประเทศ
คําสำคัญ: แผลเบาหวาน, การสมานแผล, แสง LED, แผ่นแปะอัจฉริยะ, ไฮโดรเจล, ใบบัวบก, นวัตกรรมทางการแพทย์,
เซ็นเซอร์ตรวจแผล, Near-Infrared (NIR), การดูแลแผลที่บ้าน
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED013
ชื่อนวัตกรรม: GluCare: นวัตกรรมตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดแบบไม่รุกราน เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบันทึกผลและติดตามข้อมูล สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน (GluCare: Development of a Non-Invasive Blood Glucose Monitoring System with App-Based Data Logging and Symptom Tracking for Diabetic Patients)
บทคัดย่อ:
ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ข้อมูลจาก IDF Diabetes Atlas พบว่า 1 ใน 10 คน ทั่วโลกป่วยด้วยโรคเบาหวานมากถึง 537 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 4 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2573 จะเพิ่มขึ้นเป็น 643 ล้านคน และภายในปี 2588 จะเพิ่มมากถึง 783 ล้านคน (กองโรคไม่ติดต่อ & สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ, 2567) ในประเทศไทย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จำนวนร้อยละ 21.12 ซึ่งโรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแม้ว่าจะไม่มีการรักษาให้หายขาดแต่สามารถป้องกันและควบคุมได้(กรมอนามัย, 2565) จึงจำเป็นต้องมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่บ่อยครั้ง ปัจจุบันมีการใช้เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งแบบการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วมือและการฝังเซ็นเซอร์ใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการเจ็บปวดและเสี่ยงทำให้ติดเชื้อ นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพผู้ป่วยแล้ว การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดยังนําไปสู่การเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะติดเชื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม นวัตกรรมนี้มีแนวคิดที่จะพัฒนาและศึกษาประสิทธิภาพของเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบไม่รุกราน จากความสัมพันธ์ของกลูโคสที่เกาะจับฮีโมโกลบิน (HbA1C) อาศัยหลักการดูดกลืนแสงโดยใช้เซนเซอร์และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ เพื่อการตรวจวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือดแบบไม่รุกราน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างต่อเนื่องและสะดวกยิ่งขึ้นรวมไปถึงเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพและรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานในอนาคต
คําสำคัญ: โรคเบาหวาน, ฮีโมโกลบิน A1C, การดูดกลืนแสง
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED036
ชื่อนวัตกรรม: นวัตกรรมไหมเย็บแผลอัจฉริยะจากขมิ้นชันที่สามารถตรวจจับเชื้อได้ (Smart suture innovation made from turmeric that can detect infections)
บทคัดย่อ:
การติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัดเป็นปัญหาสำคัญทางคลินิกที่อาจน าไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น แผลหายช้า การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือการต้องผ่าตัดซ้ำ โดยเชื้อที่พบได้บ่อย ได้แก่ Staphylococcus aureus ซึ่งมีความสามารถในการก่อโรคสูง ปัจจุบันการวินิจฉัยภาวะติดเชื้อมักต้องพึ่งพาการตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งใช้ระยะเวลานาน อาจส่งผลให้การรักษาล่าช้าและมีความเสี่ยงในการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจ าเป็น งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาไหมเย็บแผลอัจฉริยะที่สามารถเปลี่ยนสีตามค่า pH โดยใช้สารสกัดเคอร์คูมินจากขมิ้นชันเป็นอินดิเคเตอร์หลักในการตรวจจับการติดเชื้อไหมเย็บแผลที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงสีเหลืองเมื่อสัมผัสของเหลวที่มี pH ปกติ (~5–7) และเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงทันทีเมื่อค่า pH เพิ่มขึ้น (~8–9) ซึ่งเป็นสภาวะที่มักพบในแผลติดเชื้อ นอกจากนี้ เคอร์คูมินยังมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญ ได้แก่ การต้านจุลชีพ การต้านการอักเสบ และการส่งเสริมการสมานแผล จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพผลการทดสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่าไหมเย็บแผลจากขมิ้นชันสามารถยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus ได้ในระดับสูง อีกทั้งยังมีความคงตัวเมื่อสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงพาณิชย์ในอนาคต
คำสำคัญ: ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง, การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจ าเป็น, เชื้อ Staphylococcus aureus, อินดิเคเตอร์จากเคอร์คูมิน
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED146
ชื่อนวัตกรรม: อุปกรณ์ตรวจหาไขมันในเลือดและเบาหวานแบบพกพาได้ (Portable Multi-parameter Lipid and Diabetes analyzer)
บทคัดย่อ:
โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลกรายงานผู้เสียชีวิตจาก โรคหัวใจและหลอดเลือด 17.3 ล้านคนในปี 2018 ซึ่งร้อยละ 80 เกิดขึ้นในประเทศรายได้ปานกลางและต่ำ (Tenorio-Mucha et al., 2023) การเข้าถึงบริการวินิจฉัยในพื้นที่ชนบทยังมีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา (Cohen et al., 2020; Tenorio-Mucha et al., 2023) ตลาดเครื่องมือวินิจฉัยแบบ Point-of-Care มีมูลค่า 47.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโต CAGR 5.8% ในช่วงปี 2025-2030 ขับเคลื่อนโดยความต้องการเครื่องมือให้ผลทันทีสำหรับประชากร สูงอายุ ส่วนตลาดของการตรวจไขมันแบบพกพามีมูลค่า 733.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐและคาดเติบโต CAGR 6.5% จนถึงปี 2030 (Grand View Research, 2024) อย่างไรก็ตาม แม้ระบบสาธารณสุขในประเทศไทยจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่การ เข้าถึงบริการในพื้นที่ชนบท ภูเขา เกาะ และชายแดนนั้นยังขาดแคลนบุคลากรและเครื่องมือวินิจฉัย (Krittayaphong et al., 2013; Aekplakorn et al., 2021) ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้พิการ การศึกษา การจัดการเบาหวานระดับปฐมภูมิพบอุปกรณ์ตรวจคัดกรองและติดตามในพื้นที่ห่างไกลไม่เพียงพอบุคลากรเชี่ยวชาญ (Thepgumpanat et al., 2022; Chamnan et al., 2024) ประกอบกับขาดแคลน
ดังนั้น คณะผู้จัดทำจึงได้กำหนดวัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อออกแบบ PMLD (Portable Multi-parameter Lipid and Diabetes analyzer) ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยกำหนดรูปแบบของการศึกษาโดยใช้แนวทางการ วิจัยและพัฒนาแบบผสมผสาน (Mixed-Method Research and Development) ประกอบด้วย 4 ระยะหลัก ได้แก่ 1) การศึกษาความต้องการจำเป็น (Need Analysis) ของการใช้งานในพื้นที่เป้าหมาย โดยการสำรวจพื้นที่ชนบท เขตภูเขา หมู่ เกาะ และพื้นที่ชายแดนในประเทศไทย เพื่อประเมินความต้องการและอุปสรรคในการเข้าถึงบริการตรวจวินิจฉัยเบาหวานและ ไขมันในเลือด 2) การออกแบบและพัฒนาต้นแบบ PMLD โดยใช้เทคนิคแสง NIR LED และ UV-VIS-NIR spectrophotometer และระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมการใช้วัสดุรีไซเคิลในการสร้างโครงสร้าง อุปกรณ์ 3) การทดสอบประสิทธิภาพและความแม่นยำของอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ โดยเปรียบเทียบผลการตรวจกับ เครื่องมือมาตรฐานทางการแพทย์ และ 4) การทดลองนำร่องในพื้นที่จริงร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยเบาหวาน ไขมัน และกลุ่มเสี่ยงอายุ 35-70 ปี จำนวน 300 คน การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม แบบบันทึกผลการตรวจ และการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติเปรียบเทียบและการวิเคราะห์เนื้อหา
สำหรับผลการศึกษา คาดว่าจะได้เซนเซอร์ไฟฟ้าเคมีแบบ multi-analyte ที่ตรวจวัดกลูโคสและไขมันในเลือด 4 ชนิด พร้อมกันด้วยความแม่นยำ 92-97% ใช้เลือดเพียง 15-30 ไมโครลิตร และได้ผลภายใน 3-5 นาที ด้วยระบบ POC ขนาดกะทัดรัด (15x10x5 ซม.) น้ำหนักไม่เกิน 800 กรัม พร้อมระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและให้ คำแนะนำเชิงคลินิกด้วยความแม่นยำ 85% ใช้เวลาประมวลผลไม่เกิน 10 วินาที การใช้วัสดุรีไซเคิล 60% ลดต้นทุนการผลิต 25-30% และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 40% โดยต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 18,000 บาทต่อเครื่อง ต้นทุนการใช้งาน 10-20 บาทต่อครั้ง และมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 5-7 ปี
คำสำคัญ: อุปกรณ์ตรวจหาไขมันในเลือดและเบาหวานแบบพกพาได้, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), NIR LED, UV-VIS-NIR spectrophotometer
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED201
ชื่อนวัตกรรม: นาโนบอทสำหรับการยับยั้งเซลล์เนื้อร้าย (Nanobots for cancer suppression (NCS))
บทคัดย่อ:
ในโลกยุคปัจจุบันได้มีปัญหาทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคร้ายอยู่มากมาย ที่สามารถพรากชีวิตของผู้คนไปได้ทุกช่วงเวลา จึงเกิดกลายเป็นปัญหาใหญ่ในวงการแพทยศาสตร์ที่ต้องสืบค้น หาวิธีมาเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการของผู้คนให้ต่อสู้กับโรคร้ายไปได้นานที่สุดจนปลอดภัยแล้วสามารถดํารงชีวิตได้อย่างปกติสุข ยกตัวอย่างโรคร้ายที่พบได้มากในปัจจุบันก็คงจะหนีไม่พ้นโรคมะเร็งที่เป็นเซลล์เนื้อร้ายที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ และยังสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ทําให้ยากต่อการรักษาทั้งในเรื่องของความปลอดภัย ความจําเพาะเจาะจง รวมไปถึงประสิทธิภาพ การรักษาในยุค นี้มีเพียงแค่เคมีบําบัดและการผ่าตัดซึ่งยังมีเพียงตัวเลือกเดียวในการรักษา คณะผู้จัดทําโครงานจึงได้ริเริ่มดําเนินการศึกษาปัญหาทางการแพทย์นี้เพื่อเริ่มต้นในการค้นคว้า เทคโนโลยี Nanobots ที่จะเข้ามาเป็นตัวเลือกทางการรักษาให้แก่มนุษย์โดยโรคมะเร็งที่คณะผู้จัดทําได้ยกมาในโครงงานคือ มะเร็งสมองประเภท Glioblastoma ที่เกิดจากการกลายพันธุ์หรือการแสดงออกที่ผิดพลาดของยีนหลายชนิดโดย 95% ของเนื้องอกมักเกิดในสมองส่วน cerebrum โดยจะมีเติบโตอย่างรวดเร็วและลุกลามเข้าไปในเนื้อสมองส่วนอื่นซึ่งทําให้ยากต่อการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดแล้วต้องตามด้วยการฉายรังสีและเคมีบําบัดด้วย temozolomide ที่เป็นสารกลุ่ม alkylating โดยจะทํางานได้ด้วยการเพิ่ม methyl(alkyl) ลงไปในเนื้องอกเพื่อทําการยับยั้งการสร้างDNAใหม่และการงอกเพิ่มของเนื้องอก วิธีการรักษานี้เป็นการรักษาในปัจจุบันที่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่มากคณะผู้จัดทําจึงริเริ่มแนวทางการรักษาด้วยนาโนบอท โดยวิธีการที่จะนําตัวนาโนบอทเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์จะนําเข้าโดยการใช้สายสวนหลอดเลือกและใช้เส้นทางส่งผ่านเป็นหลอดเลือดดํา หลังจากที่นาโนบอทถึงบริเวณเป้าหมายแล้วจะมีการใช้ตัวเข็มขนาดเล็กเพื่อแทงทะลุเยื่อหุ้มเซลล์แล้วปล่อยสารที่ใช้ในกระบวนการ Gene knockdown ที่จะเป็นการลดการแสดงออกของยีนบางตัวซึ่งมีผลให้เซลล์มะเร็งเสียสถานะความเป็นมะเร็งแล้วกลับสู่สถานะเซลล์ปกติจากการศึกษางานวิจัยพบว่า การเลือกใช้แอนติบอดี้สายหนักเดี่ยวเป็นสารที่สามารถนํามาใช้ในการวินิจฉัยเพื่อตรวจจับและระบุตําแหน่งการกลายพันธุ์ การเพิ่มจํานวนยีนของเซลล์มะเร็งได้ สารนี้ยังมีข้อดีตรงที่สามารถผลิตได้หลากหลายช่องทางเช่น การผลิตผ่านสัตว์ การสังเคราะห์ยีน และการผลิตนาโนบอดี้ด้วยการดัดแปลงพันธุกรรม กระบวนการผลิตของแอนติบอดี้สายหนักเดี่ยวสามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดต้นทุน และผลิตได้ในจํานวนที่มากในแต่ละครั้งการผลิต ในส่วนของมาตรวัดความเป็นมะเร็งของเซลล์จะวัดโดย การเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงสถานะของเซลล์หรือที่เรียกว่า Waddington’s landscape of cancer ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงภาพที่ใช้ในการอธิบายว่าเซลล์จะกลายเป็นอะไร โดยมีลูกบอลแทนเซลล์และหลุมแทนสถานะของมัน ถ้าเซลล์อยู่ในหลุมของมะเร็ง ก็เปรียบเหมือนเซลล์ติดอยู่ในสถานะมะเร็ง และการรักษาคือ ความพยายามเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้ลูกบอลกลิ้งไปในทิศทางที่ดีกว่าเช่น เซลล์กลายเป็นเซลล์ปกติและมี cancer score ที่เป็นคะแนนที่ใช้วัดว่า เซลล์อยู่ใกล้หรือไกลจากสถานะมะเร็งมากแค่ไหน มีแนวโน้มการเป็นมะเร็ง หรือความปลอดภัยอย่างไรบ้างข้อเสนอแนะจากโครงงานนวัตกรรม เนื่องจากนาโนบอทที่คณะผู้จัดทําได้ริเริ่มคิดค้นขึ้นมาเพื่อแปลงสถานะเซลล์มะเร็งให้กลับสู่เซลล์ปกติ ล้วนมีความสําคัญในการแก้ปัญหาทางการแพทย์ ณ ปัจจุบัน แล้วแนวคิดนี้ยังสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาการรักษาเซลล์มะเร็งภายในอวัยวะต่างๆ รวมไปถึงเซลล์โรคร้ายอื่นๆ ในร่างกายได้อีกด้วย
คําสำคัญ: Nanobots , Glioblastoma , cerebrum , temozolomide , alkylating , Gene knockdown , Waddington’s landscape of cancer , cancer score
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
รหัสทีม/รหัสโหวต: CIA25MED223
ชื่อนวัตกรรม: ปิ่นโต พินพีค สุขมหาศาล (PINPEEK SUKMAHASAN)
บทคัดย่อ:
ในปัจจุบันคนไทยให้ความสําคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านโภชนาการ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากเนื่องจากการเลือกรับประทานอาหารที่ดีและเหมาะสมช่วยส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเกี่ยวกับการกิน เช่น เบาหวานความดันโลหิตสูง และโรคไต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ภูมิประเทศของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นมีภูมิอากาศร้อน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาอาหารบูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะอาหารที่เก็บรักษาไม่เหมาะสม ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนก็ส่งผลต่อความปลอดภัยของอาหาร โดยอุณหภูมิสูงทําให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีในอาหาร ซึ่งนําไปสู่การปนเปื้อนและการเสื่อมสภาพของอาหารอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ไม่เพียงทําให้คุณภาพของอาหารลดลง แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เช่น อาการปวดท้อง โรคท้องร่วง อาหารเป็นพิษหรือการติดเชื้อทางเดินอาหาร ดังนั้นบ่อยครั้งที่คนไทยอาจบริโภคอาหารที่บูดเสียโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากความเร่งรีบในชีวิตประจําวันหรือการขาดความตระหนักในการตรวจสอบคุณภาพอาหารก่อนรับประทาน เช่น การไม่สังเกตกลิ่น สี หรือรสชาติที่ผิดปกติของอาหาร รวมถึงการเก็บรักษาอาหารในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในครัวเรือนหรือร้านอาหารทั่วไปคณะผู้จัดทําจึงได้มีแนวคิดในการสร้างนวัตกรรม PINPEEK SUKMAHASAN เพื่อเป็นอีกแนวทางในการช่วยส่งเสริมการบริโภคอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และครบถ้วนตามหลักโภชนาการ โดยมีฟังก์ชันพิเศษที่ช่วยแจ้งเตือนเวลารับประทานอาหารพร้อมระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความสดใหม่ของอาหาร หากพบว่าอาหารเสื่อมหรือหมดอายุ ระบบจะแจ้งเตือนทันที เพื่อลดความเสี่ยงในการบริโภคอาหารบูดเน่าซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยที่ PINPEEK SUKMAHASAN มีทั้งหมด 3 ชั้น เพื่อใส่อาหารได้ 3 ประเภท โดยที่แต่ล่ะชั้นประกอบด้วยแผงวงจรเซนเซอร์ติมตามสถานะของอาหาร โดยเซนเซอร์จะตรวจจับระดับไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) กลูโคส โซเดียม และวิเคราะห์โภชนการทางอาหาร โดยใช้ระบบประมวลผลด้วยการเรียนรู้เชิงลึก(Deep Learning) ซึ่งถูกฝึกสอนมาจากภาพอาหารมากกว่า 50,000 ภาพ แล้วประเมินสัดส่วนของวัตถุดิบในอาหารจานนั้นเพื่อให้สามารถวิเคราะห์โภชนาการทางอาหารได้อย่างแม่นยําและในแต่ล่ะชั้นจะถูกเชื่อมต่อข้อมูลด้วยระบบไร้สายผ่านแม่เหล็กและการเหนี่ยวนําทางไฟฟ้า โดยที่ข้อมูลจะถูกรวบรวมและวิเคราะห์ที่ฝาของปิ่นโตและจะถูกส่งข้อมูลเข้าสู่แอปพลิเคชัน PINPEEK ผ่านเทคโนโลยีไร้สายสวนบุคคล (Bluetooth) ทั้งนี้ในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง สามารถนําความก้าวหน้านี้มาประยุกต์และพัฒนาต่อยอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการในด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้ต่อไป
คําสำคัญ: PINPEEK SUKMAHASAN , การตรวจจับความสดใหม่ของอาหาร , แอปพลิเคชัน PINPEEK , การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) , ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H) , อาหารบูดเสีย แบคทีเรีย / จุลินทรีย์
วิดีโอนำเสนอ: รับชมที่นี่
อ่านต่อนวัตกรรมอื่น SET A ที่นี่
ฝ่ายวิชาการ
กองอำนวยการการแข่งขัน
15:02:37 | 15:02:42